ค่าเสียหายส่วนแรก (Excess และ Deductible)

3759 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ค่าเสียหายส่วนแรก (Excess และ Deductible)

เมื่อพูดถึงเรื่องการเคลมประกันภัยรถยนต์ คำถามที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอคือ เราต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สำหรับการแจ้งเคลมที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง? 

ในเรื่องนี้บริษัทประกันภัยทุกแห่งได้กำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินที่เรียกว่า “ค่าเสียหายส่วนแรก” เอาไว้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันตามที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้ โดยเราจะมาทำความเข้าใจกันถึงวัตถุประสงค์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนนี้กันก่อน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจในรายละเอียดได้ง่ายขึ้น 

ค่าเสียหายส่วนแรก 

การเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันผู้ที่แจ้งเคลมโดยไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เพื่อหวังซ่อมรถกับบริษัทประกันภัย หรือผู้ที่ขับรถด้วยความประมาทหรือไม่ใช้ความระมัดระวังมากพอ เพราะคิดว่าหากเกิดความเสียหายขึ้นกับรถก็สามารถแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยเพื่อซ่อมรถเมื่อใดก็ได้  ซึ่งเป็นค่านิยมและความเข้าใจที่ผิด โดยหากมีการกระทำในลักษณะนี้เกิดขึ้นมากๆ จะส่งผลให้ยอดค่าสินไหมของประกันภัยรถยนต์ทั้งระบบสูงขึ้น จนบริษัทประกันภัยต้องปรับอัตราเบี้ยให้สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้น ซึ่งจะไม่เป็นธรรมกับผู้เอาประกันภัยรายอื่น 

ค่าเสียหายส่วนแรกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1) ค่าเสียหายส่วนแรกที่เป็นเงื่อนไขถูกกำหนดไว้ตายตัวสำหรับผู้เอาประกันภัยทุกราย หรือ ค่า “Excess” (อ่านว่า เอ็กเซส ไม่ใช่ แอ็คเซฟหรือแอคเซสตามที่หลายคนอ่านผิด) เป็นค่าเสียหายที่ไม่ได้เกิดจากการชนหรือคว่ำ หรือชนแต่หาคู่กรณีไม่ได้ หรือเราไม่ได้ขับรถชนเอง แต่ไม่สามารถระบุรายละเอียดความเสียหายที่ชัดเจนพอที่จะให้บริษัทประกันไปไล่เบี้ยหาต้นเหตุจนพบตัวคู่กรณีที่ต้องรับผิดชอบได้ เราจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก  1,000 บาท ต่อเหตุการณ์สำหรับความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของเรา เช่น 

        1. ถูกมุ่งร้าย กลั่นแกล้ง แล้วหาคู่กรณีไม่ได้ เช่น รถถูกขีดข่วน 

        2. ความเสียหายของพื้นผิวสีรถ  (ตัวรถและอุปกรณ์ในรถไม่เสียหาย) เช่น หินกระเด็นใส่ เฉี่ยวกิ่งไม้/สายไฟ/ลวดหนาม ขับรถตกหลุม / ครูดพื้นถนน เหยียบตะปูหรือของมีคมหรืออะไรที่ทำให้ยางฉีก ละอองสีปลิวมาโดน / วัสดุหล่นมาโดน 

        3. ระบุสาเหตุที่ทำให้รถเสียหายไม่ได้ รวมถึงระบุวัน เวลา สถานที่เมื่อรถเกิดความสียหายที่ชัดเจนไม่ได้ เช่น กระจกรถแตก ถูกสัตว์กัดแทะหรือขีดข่วนถูกวัสดุในตัวรถกระแทก

        4. ไถลตกข้างทางแต่ยังไม่พลิกคว่ำ 

        5. ชนกับพาหนะอื่นแต่แจ้งรายละเอียดคู่กรณีไม่ได้  

หรือสามารถอธิบายง่ายๆ คือ ถ้าไม่ต้องการจ่าย ต้องสามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นการชนแล้วทำให้เกิดความเสียหายถึงกับ บุบ แตก ร้าว หรือระบุเหตุความเสียที่ชัดเจนพอที่จะให้บริษัทประกันไปไล่เบี้ยหาต้นเหตุจนพบคนที่ต้องรับผิดชอบได้ เช่น 

        1. ชนกับพาหนะอื่นและแจ้งรายละเอียดคู่กรณีให้ได้   

        2. ชนกับที่ยึดแน่นตรึงตรากับพื้นดิน                 

            - เสา / ประตู / เสาไฟฟ้า / กำแพง / ป้ายจราจร                

            - ทรัพย์สินอื่นที่ยึดแน่นตรึงตรากับพื้นดิน 

        3. ชนต้นไม้ยืนต้น / ขอบถนน / ราวสะพาน 

        4. ชนกองดิน หรือชนหน้าผา 

        5. ชนคน / สัตว์ 

        6. รถพลิกคว่ำ 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้